นายธีระชัย พิพิธศุภผล กรรมการผู้จัดการ บริษัท โอเชี่ยน พรอพเพอร์ตี้ จำกัด เปิดเผยว่า แผนการดำเนินธุรกิจในระยะ 4 ปีหลังจากนี้ (2560-2563) บริษัทจะมีการปรับสัดส่วนในการพัฒนาโครงการเป็นแนวราบ 80% แนวสูง 20% และในอนาคตจะปรับสัดส่วนการพัฒนาโครงการแนวราบ 60% และโครงการแนวสูง 40% อย่างไรก็ตามบริษัทมีแผนพัฒนาโครงการใหม่เพิ่มโดยตั้งเป้าพัฒนาโครงการใหม่ปีละ 3-4 โครงการ มูลค่ารวมประมาณ 3,000-4,000 ล้านบาท
อย่างไรก็ตามในบริษัทมีแผนปรับสัดส่วนรายได้ โดยจะเป็นรายได้จากการพัฒนาโครงการเพื่อขายที่ 80% จากเดิม 20% และธุรกิจเพื่อเช่า 20% จากเดิม 80% ทั้งนี้เชื่อว่าจากการปรับพอร์ตสัดส่วนรายได้จะทำให้บริษัทมีรายได้ที่รับรู้เพิ่มมากขึ้น สำหรับในปี 2559 คาดว่าจะมีรายได้ 600-700 ล้านบาท ในปี 2560 ตั้งเป้ามีรายได้ 1,300-1,500 ล้านบาท และในปี 2563 จะมีรายได้แตะระดับที่ 4,000 ล้านบาท
ในส่วนของแผนพัฒนาโครงการในปี 2560 มีแผนพัฒนาโครงการใหม่ จำนวน 4 โครงการ รวม 788 ยูนิต มูลค่ารวมโครงการ 2,600 ล้านบาท และในปี 2561 เตรียมเปิดเพิ่มอีกประมาณ 3-4 โครงการ มูลค่ารวมกว่า 4,000 ล้านบาท ซึ่งในเบื้องต้นจะนำที่ดินในเครือของบริษัทไทยสมุทร ซึ่งเป็นที่ดินของตระกูล "อัสสกุล" ที่มีที่ดินมากกว่า 10,000 ไร่ทั่วประเทศ โดยบริษัทจะพิจารณาในทำเลที่มีศักยภาพเพื่อพัฒนาโครงการใหม่ก่อน
โดยในปี 2560 บริษัทเตรียมเปิดขายโครงการ "โอเชี่ยน เกจ" ในจังหวัดสุพรรณบุรี บนพื้นที่ 22 ไร่ รวม 220 ยูนิต มูลค่า 800 ล้านบาท แบ่งเป็นอาคารพาณิชย์ และทาวน์โฮม 3 ชั้น ทั้งนี้ยังได้มีแผนการพัฒนาโครงการในพื้นที่จังหวัดขอนแก่น ซึ่งเป็นหัวเมืองใหญ่ ซึ่งในปัจจุบันภาครัฐได้มีแผนในการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานรถไฟรางเบา ส่งผลให้ความต้องการในที่อยู่อาศัยมีเพิ่มมากขึ้น บริษัทจึงมีแผนเปิดตัวโครงการ "โอเชี่ยน เรสซิเด้นท์ ขอนแก่น" เป็นคอนโดมิเนียมสูง 8 ชั้น มูลค่า 300 ล้านบาท
นอกจากนี้ยังมีแผนพัฒนาในจังหวัดภูเก็ต โดยบริษัทเตรียมพัฒนาอีก 2 โครงการ มูลค่ารวม 1,500 ล้านบาท ได้แก่ โครงการ "โอเชี่ยน ทาวน์" เป็นทาวน์เฮาส์ บนพื้นที่ 22-25 ไร่ จำนวน 240 ยูนิต มูลค่า 700 ล้านบาท ระดับราคาเริ่ม 2.8-3 ล้านบาท และโครงการ "โอเชี่ยน วิลเลจ" เป็นบ้านเดี่ยว บนพื้นที่ 30 ไร่ จำนวน 180 ยูนิต มูลค่า 800 ล้านบาท ระดับราคาเริ่ม 3-5 ล้านบาท
และยังมีแผนนำที่ดิน 3 แปลง ในทำเล กทม.มาพัฒนาเป็นโครงการคอนโดมิเนียม ปัจจุบันอยู่ระหว่างการศึกษาความเป็นไปได้อยู่ ได้แก่ คลองตัน จำนวน 11 ไร่ พระราม 3 จำนวน 16 ไร่ และราษฎร์บูรณะ จำนวน 19 ไร่ ซึ่งจะมีมูลค่ารวมประมาณ 2,000-3,000 ล้านบาท โดยคาดว่าจะมีแผนเปิดตัวได้ในไตรมาส 1-2 ของปี 2561
นายธีระชัย กล่าวเพิ่มเติมถึงแผนการขยายท่าจอดเรือยอชท์ที่โอเชี่ยนมารีน่า ว่า ในอีก 2-3 ปีข้างหน้า บริษัทจะขยายท่าจอดเรือยอร์ชเพิ่มอีก 100 ท่า จากเดิมที่มีจำนวนท่าจอดเรือยอชท์รวม 380 ท่า จำนวน 120 ไร่ นอกจากนี้ยังมีแผนปรับปรุงคอนโดมิเนียมที่พัทยาในโครงการโอเชี่ยนมารีน่า ประมาณ 200-250 ล้านบาท คาดว่าจะปรับปรุงแล้วเสร็จในช่วงกลางปีหน้า และมีแผนพัฒนาเป็น "อินแลนด์" หรือที่จอดเรือที่สามารถเชื่อมต่อกับทะเลได้ ซึ่งจะพัฒนาบนพื้นที่ 15-20 ไร่
ที่มา : หนังสือพิมพ์บ้านเมือง