เจ.เอส.พี. พร็อพเพอร์ตี้ ผู้นำในธุรกิจพัฒนาอสังหาริมทรัพย์เชิงพาณิชย์แนวราบและที่อยู่อาศัย มั่นใจแนวโน้มผลประกอบการไตรมาส 2/2560 โตต่อเนื่อง พร้อมเปิดเกมรุกส่ง 22 โครงการ 16 ทำเลทอง เดินหน้าพลิกโฉมธุรกิจ มุ่งพัฒนาที่อยู่อาศัยในกลุ่มราคาต่ำกว่า 5 ล้านบาท ตั้งเป้าสิ้นปีกวาดรายได้ 5,000 ล้านบาท
นายไพโรจน์ วัฒนวโรดม กรรมการผู้จัดการบริษัท เจ.เอส.พี.แอสพลัส จำกัด และรองกรรมการผู้จัดการอาวุโส บมจ.เจ.เอส.พี. พร็อพเพอร์ตี้ หรือ JSP เปิดเผยว่า จากภาพรวมธุรกิจอสังหาริมทรัพย์กรุงเทพ-ปริมณฑล ในช่วงต้นปี 2017 พบว่า เศรษฐกิจค่อนข้างชะลอตัว แต่ก็ยังมีอัตราการเติบโตเพิ่มขึ้นอยู่บ้าง และยังคงไปได้ต่อ โดยเห็นได้จากผลการดำเนินงานในช่วงไตรมาส 1/2560 ที่ผ่านมาของเจ.เอส.พี. นั้น บริษัทฯ มีความพอใจเป็นอย่างมาก โดยสามารถทำยอดขายได้อยู่ที่ 1,090 ล้านบาท ซึ่งเป็นไปตามเป้าที่คาดการณ์ไว้ โดยปัจจัยที่สนับสนุนให้ผลกำไรไตรมาสแรกปรับตัวเพิ่มขึ้นมาจากการทยอยรับรู้รายได้จากยอดขายที่รอโอนกรรมสิทธิ์เข้ามาอย่างต่อเนื่องของในช่วงปลายปีที่แล้ว อีกทั้งกำลังซื้อของผู้บริโภคเริ่มกลับมาจึงส่งผลให้ในไตรมาสแรกของปี บริษัทฯสามารถกวาดรายได้อย่างงดงาม
"ในช่วงไตรมาส 1/2560 บริษัทฯ สามารถคว้ารายได้ทำสถิติสูงสุดใหม่ จากช่วงเดียวกันของปีก่อนมีรายได้รวมประมาณ 524 ล้านบาท โดยปัจจุบันบริษัทฯ มียอดรับรู้รายได้ในมือกว่า 4,000 ล้านบาท ซึ่งจะรับรู้รายได้ภายในปีนี้ราว 3,000 ล้านบาท และส่วนที่เหลืออีกราว 1,000 ล้านบาทนั้นจะทยอยรับรู้ในต้นปี 2561 จึงทำให้บริษัทฯ เชื่อว่าผลการดำเนินงานในไตรมาส 2/2560 นี้ จะเห็นภาพการเติบโตที่เพิ่มขึ้นอีก ในขณะเดียวกันบริษัทฯ ได้ทยอยเปิดโครงการแนวราบ ซึ่งจะดำเนินการพรีเซลและโอนกรรมสิทธิ์ค่อนข้างเร็ว เนื่องจากโครงการฯ ส่วนใหญ่ที่เปิดใหม่เป็นโครงการแนวราบ ซึ่งหากสร้างบ้านเสร็จก็สามารถโอนได้ทันที ทำให้บริษัทฯ สามารถประเมินยอดโอนในไตรมาส 2/2560 ได้ล่วงหน้า"
นอกจากนี้บริษัทฯ ยังมุ่งพัฒนาที่อยู่อาศัยในกลุ่มราคาต่ำกว่า 5 ล้านบาท เนื่องจากเป็นฐานกลุ่มลูกค้าขนาดใหญ่ โดยจะเน้นพัฒนาโครงการในพื้นที่กรุงเทพฯ-ปริมณฑลเป็นหลักในสัดส่วน 80% และ ต่างจังหวัดอีก 20% ซึ่งปัจจุบันจึงได้ทำการพัฒนา 22 โครงการ และ 16 ทำเล เพื่อเพิ่มความหลากหลายของที่อยู่อาศัย ให้สามารถตอบสนอง และเข้าถึงกลุ่มเป้าหมาย ภายใต้มาตรฐาน J ID หรือ J Intelligent Design เครื่องหมายมาตรฐานของบ้านชาญฉลาด ซึ่งเป็นเครื่อง หมายการันตีให้กับผู้อยู่อาศัยว่าเป็นบ้านที่ตอบโจทย์ความคุ้มค่าได้ 4ด้าน พร้อมกับราคาที่ลูกค้าสามารถจับต้องได้ ได้แก่
โครงการเจ ทาวน์ บางปะกง บ้านโพธิ์ ทาวน์โฮม 2 ชั้น ,โครงการเจ บิซ บางปะกง บ้านโพธิ์ อาคารพาณิชย์ ติดถนนใหญ่ ,โครงการเจ วิลล่า บางปะกง- บ้านโพธิ์ บ้านแฝดสไตล์บ้านเดี่ยว , โครงการเจ ซิตี้ ติวานนท์-บางกะดี ทาวน์โฮมฟังก์ชั่นบ้านเดี่ยว ,โครงการไมอามี่ คอนโด บางปูคอนโดติดรถไฟฟ้า ติดทะเล แห่งเดียวในไทย ,โครงการเจ ทาวน์ สุขุมวิท แพรกษา ทาวน์โฮม 2 ชั้น ,โครงการเจ บิซ สุขุมวิท แพรกษา อาคารพาณิชย์ ,โครงการเจ วิลล่า สุขุมวิท แพรกษา บ้านแฝด บ้านฟังก์ชั่นใหม่ สไตล์บ้านเดี่ยว ,โครงการทิวลิป สแควร์ คอนโดและอาคารพาณิชย์สไตลส์ยุโรปสุดหรู ,โครงการโฮมออฟฟิต (อาคารพาณิชย์-ทองหล่ออ้อมน้อย) ,โครงการสำเพ็ง 2 อาณาจักรค้าปลีกส่ง แห่งใหม่ ย่านฝั่งธน ,โครงการเจ คอนโด สาทร-กัลปพฤกษ์ คอนโดสูง 25 ชั้น วิว 360องศา ,โครงการเจ คอนโด พระราม 2 คอนโดใหม่ติดเซ็นทรัลพระราม 2 ,โครงการเจ ทาวน์ รังสิตคลอง 1 ทาวน์โฮม 2 ชั้น ติดถนนใหญ่ ,โครงการเจ บิซ รังสิตคลอง 1 อาคารพาณิชย์ ติดถนนใหญ่ และโครงการเจ วิลล่า รังสิตคลอง 1 บ้านแฝดที่เหนือกว่าบ้านเดี่ยว
อีกทั้งโครงการน้องใหม่ที่มีแผนเตรียมเปิดภายในปี 2560 เพิ่มอีกประมาณการณ์มูลค่ารวมมากกว่า 4,000 ล้านบาท ได้แก่ โครงการเจ แกรนด์ สาทร-กัลปพฤกษ์ ,โครงการเจ ซิตี้ รัตนาธิเบศร์-บางบัวทอง, โครงการเจ วิลล่า วงแหวนบางใหญ่, โครงการเจ แกรนด์ สาทร-กัลปพฤกษ์, โครงการเจ ซิตี้ อัสสัมชัญ-ศรีราชา, เจ คอนโด บางเสร่ และโครงการย่านพระราม 4
นายไพโรจน์ กล่าวเพิ่มเติมว่า ทั้งนี้ บริษัทฯ คาดว่าภายในปี 2560 จะมียอดโอน (Transfers) อยู่ที่จำนวน 5,067 ล้านบาท ซึ่งปรับเพิ่มขึ้นจากปี2559 ที่มียอดโอนอยู่ที่ 3,050 ล้านบาท โดยแบ่งออกเป็นโครงการบ้านเดี่ยว จำนวน 3,142 ล้านบาท หรือคิดเป็น 62% โครงการคอนโดมิเนียม จำนวน940 ล้านบาท หรือคิดเป็น 19% และโครงการอาคารพาณิชย์ จำนวน 985 ล้านบาท หรือคิดเป็น 19%
"ในปีนี้เจ.เอส.พี. ยังคงเดินหน้าพลิกโฉมธุรกิจต่อเนื่อง โดยมุ่งเน้นกลยุทธิ์การบริหารสต๊อกสินค้า เพิ่มยอดขาย และเร่งโอน พร้อมเน้นโครงการที่เปิดแล้ว ภายใต้คอนเซปต์สินค้า “ทำเลดี ราคาเป็นมิตร” พร้อมมีฟังก์ชันที่ตอบโจทย์ความต้องการลูกค้า หน้าตาดูดี ทันสมัย ซุ้ม ป้อม ป้าย ระบบรักษาความปลอดภัยดี และนอกจากนี้บริษัทฯ ยังได้รับความเชื่อมั่นจากธนาคารชั้นนำต่าง ๆ กว่า10 ธนาคาร ที่ร่วมเป็นพันธมิตร และยกระดับการให้วงเงินสินเชื่อและอัตราดอกเบี้ยในแบบพิเศษสำหรับลูกค้า ซึ่งถือเป็นจังหวะโอกาสดีของบริษัทฯ และทำให้มั่นใจว่าสำหรับปี2560 บริษัทฯ จะสามารถทำรายได้ถึง5,000 ล้านบาท หรือเติบโตไม่น้อยกว่า 20% อย่างแน่นอน" นายไพโรจน์ กล่าวสรุป