นายรุ่งโรจน์ รังสิโยภาส กรรมการผู้จัดการใหญ่ บมจ. ปูนซิเมนต์ไทย (SCG) เปิดเผยว่า ได้ตั้งเป้าหมายการขยายธุรกิจเอสซีจีในอาเซียน ได้ตั้งงบประมาณลงทุนในกลุ่มอาเซียน 5 ปี (ปี 59-63) 250,000 ล้านบาท แบ่งเป็นปีละ 50,000 ล้านบาท เพื่อขยายการลงทุนมากขึ้น เช่น ซื้อกิจการ หาพันธมิตรร่วมทุน และขยายการลงทุนจากธุรกิจปัจจุบัน เนื่องจากกลุ่มประเทศอาเซียนมีอัตราการขยายตัวสูงจากการพัฒนาแต่ละประเทศ ส่งผลให้มีความต้องการสินค้าซีเมนต์-วัสดุก่อสร้าง, บรรจุภัณฑ์ในกลุ่มอุตสาหกรรม
ทั้งนี้ปัจจุบันกลุ่มเอสซีจีมีสัดส่วนรายได้ในกลุ่มประเทศอาเซียน 12,586 ล้านบาท คิดเป็น 12% ของรายได้รวมทั้งหมดของกลุ่มฯ ตั้งเป้าขยายตัวไม่ต่ำกว่า 5% ปัจจุบันลงทุนเกือบครบ 10 ประเทศ เช่น เวียดนาม ลงทุนในกลุ่มซีเมนต์-วัสดุก่อสร้าง บรรจุภัณฑ์, อินโดนีเซีย ลงทุนทุกกลุ่ม เช่น กลุ่มซีเมนต์วัสดุก่อสร้าง บรรจุภัณฑ์, เมียนมา ลงทุนในกลุ่มซีเมนต์-วัสดุก่อสร้าง, ลาว ซีเมนต์-วัสดุก่อสร้าง, กัมพูชา ซีเมนต์-วัสดุก่อสร้าง เป็นต้น
"การลงทุนในธุรกิจปูนซีเมนต์-วัสดุก่อสร้างในประเทศอาเซียนต่อไปจะเน้นหา พันธมิตรมากกว่าลงทุนสร้างโรงงานใหม่ทั้งหมด เช่น ปัจจุบันเอสซีจี กำลังมองหาโอกาสในการควบรวมและซื้อกิจการ (เอ็มแอนด์เอ) ในเวียดนาม เพราะเวียดนามมีกำลังการผลิตปูนซีเมนต์ล้นตลาด ส่วนการหาพันธมิตรใหม่ในโครงการปิโตรเคมีคอมเพล็กซ์ ในเวียดนาม ต้องใช้เวลา 2-3 เดือน และคาดว่า จะมีความชัดเจนกลางปีนี้ตามกำหนดเดิม ส่วนโรงงานปูนซีเมนต์ในเมียนมา คาดว่า เริ่มเดินสายการผลิตช่วงไตรมาสที่ 3 ปีนี้ และลาว เริ่มเดินสายการผลิตกลางปี 60 ซึ่งโครงการลงทุนเหล่านี้ จะเป็นส่วนสำคัญในการขยายตัวของเอสซีจีในอาเซียน"
นอกจากนี้ระยะต่อไปเอสซีจี จะให้ความสำคัญพัฒนาสินค้าและบริการที่มีมูลค่าเพิ่มมากต่อเนื่อง ทั้งที่เป็นการค้นคว้าวิจัยโดยทีมงานเอสซีจีเอง และการร่วมมือกับสถาบันวิจัยชั้นนำของไทย และระดับโลก ซึ่งเตรียมเพิ่มงบประมาณงานวิจัย และพัฒนาเป็น 4,000 ล้านบาท หรือคิดเป็น 1% ของยอดขายรวมทั้งหมด จากปัจจุบันอยู่ที่ 3,000 ล้านบาท หรือ 0.8% และระยะต่อไปจะเพิ่มงบประมาณในส่วนนี้มากขึ้น เพื่อตอบโจทย์ความต้องการของผู้บริโภคในปัจจุบันและอนาคต เช่น ในปัจจุบันผลิตนวัตกรรมเม็ดพลาสติก สำหรับท่อทนแรงดันสูงเกรดพีอี 100 ใช้ในระบบขนส่งน้ำ อุตฯ เหมืองแร่ และอุตฯ ก๊าซธรรมชาติ ซึ่งได้มาตรฐานระดับโลก, ผลิตภัณฑ์เพื่อผู้สูงวัย, ปูนซีเมนต์สูตรพิเศษที่ใช้เทคโนโลยีการผลิต 3 ดี ในการผลิตซีเมนต์รูปแบบใหม่, การผลิตบรรจุภัณฑ์ให้มีความทนทาน และเล็กลง เพื่อขนส่งได้สะดวกขึ้น
ด้านแนวโน้มเศรษฐกิจของไทยครึ่งปีหลังมองว่า การลงทุนจากภาครัฐเป็นส่วนสำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจ ซึ่งตอนนี้จากมาตรการกระตุ้นต่างๆ เริ่มส่งผลดีแล้ว หวังว่าจะส่งผลดีต่อภาคธุรกิจอื่นๆ ด้วย เช่น การก่อสร้างที่อยู่อาศัย การก่อสร้างต่างๆ มากขึ้น ส่วนปัจจัยเสี่ยง คือ ภาวะภัยแล้ง ที่มีความรุนแรง ซึ่งต้องการให้ภาครัฐบริหารจัดการเรื่องน้ำในระยะยาวมากขึ้น
ส่วนวิสัยทัศน์การทำงานหลังจากที่ตนรับตำแหน่งกรรมการผู้จัดการใหญ่คนใหม่ของเอสซีจีครบ 4 เดือน ว่า ต้องการเห็นเอสซีจีมีการพัฒนาองค์กรอย่างยั่งยืน และได้รับการยอมรับจากคนไทยและต่างชาติว่าเป็นองค์กรที่มีธรรมาภิบาล ทำธุรกิจที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม และให้คนในพื้นที่ที่เอสซีจีเข้าไปลงทุนให้การยอมรับ และอยู่ร่วมกันได้ ที่สำคัญตนเป็นเพียง 1 ในพนักงาน 50,000 คน ดังนั้นการจะนำพาองค์กรให้ก้าวหน้าไปได้ จะต้องได้รับการยอมรับ
ที่มา : หนังสือพิมพ์เดลินิวส์