นายนิธิ ภัทรโชค ผู้ช่วยผู้จัดการใหญ่-ตลาดในประเทศ ธุรกิจ เอสซีจี ซิเมนต์-ผลิตภัณฑ์ก่อสร้าง เปิดเผยว่า การเปลี่ยนชื่อแบรนด์ตราช้างมาเป็น "เอสซีจี" นั้น เป็นหนึ่งในยุทธศาสตร์การนำแบรนด์วัสดุก่อสร้างของไทยบุกตลาดทั่วทั้ง อาเซียน ซึ่ง "เอสซีจี" มีนโยบายมุ่งสู่ความเป็นผู้นำธุรกิจทั้งในประเทศไทย อาเซียน และตลาดโลก โดย "ตราช้าง" เป็นหนึ่งในแบรนด์หลักของธุรกิจ เอสซีจี ซิเมนต์-ผลิตภัณฑ์ก่อสร้าง ที่ได้รับความไว้วางใจจากผู้บริโภคชาวไทยมากว่า 100 ปี การก้าวสู่การแข่งขันระดับอาเซียนครั้งนี้ เอสซีจีได้ชูจุดแข็งทั้งในเรื่องคุณภาพและนวัตกรรมของวัสดุก่อสร้างเป็นหัว หอกในการทำตลาดทั่วอาเซียน ซึ่งแบรนด์เอสซีจีได้รับการยอมรับว่าเป็นเลิศในเรื่องการพัฒนานวัตกรรมอยู่ แล้ว ดังนั้น การเปลี่ยนชื่อครั้งนี้จึงเป็นการยกระดับแบรนด์ให้มีความแข็งแกร่งมากขึ้น
เราได้นำแบรนด์เอสซีจี ก้าวสู่การแข่งขันในประเทศต่างๆ ในอาเซียนอยู่แล้ว ทั้งในประเทศอินโดนีเซีย เวียดนาม ฟิลิปปินส์ กัมพูชา และเมียนมาร์ มีเพียง 2 ประเทศเท่านั้นที่ใช้ชื่อแบรนด์ตราช้าง คือ ประเทศไทยและสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว ซึ่งนับจากนี้ไป เราจะเรียกวัสดุก่อสร้างแบรนด์ตราช้าง เป็นแบรนด์เอสซีจี ในทุกประเทศทั่วอาเซียนและทั่วโลกที่เราเข้าไปทำตลาด
นายนิธิกล่าว ต่อไปว่า การเปลี่ยนชื่อเรียกในครั้งนี้ เรามั่นใจว่าจะไม่มีผลกระทบต่อกลุ่มเป้าหมายทางการตลาดในประเทศไทยอย่าง แน่นอน บริษัทฯ ได้ทำการสำรวจความคิดเห็นของกลุ่มเจ้าของบ้าน สถาปนิก ผู้รับเหมา ช่าง และกลุ่มดีลเลอร์ ถึงการเปลี่ยนชื่อแบรนด์สินค้าตราช้างมาเป็น "เอสซีจี" พบว่า 99% ของผู้ให้ความเห็น รับรู้ว่าตราช้างและเอสซีจีเป็นแบรนด์เดียวกัน มีความเชื่อมโยงกันด้วยสัญลักษณ์ช้างเผือกในรูปหกเหลี่ยม ทั้งยังเชื่อว่าการเปลี่ยนแบรนด์ครั้งนี้จะช่วยยกระดับทั้งด้านนวัตกรรมและ เทคโนโลยีให้ดียิ่งขึ้น จากผลสำรวจนี้บริษัทฯ จึงมั่นใจว่ากลุ่มผู้บริโภคจะให้การยอมรับและเชื่อมั่นในคุณภาพของสินค้าภายใต้แบรนด์เอสซีจีเป็นอย่างดี
"เอสซีจี เป็นแบรนด์ที่แข็งแกร่ง ได้รับการยอมรับเป็นอย่างดีทั้งในประเทศ และต่างประเทศ โดยเฉพาะด้านนวัตกรรม และความรับผิดชอบต่อสังคม แบรนด์เอสซีจีจึงมีส่วนสำคัญในการทำให้เกิดคุณค่าของแบรนด์สินค้า (Brand Equity) ต่อสินค้าต่างๆ โดยเฉพาะสินค้าวัสดุก่อสร้างตราช้างให้แข็งแกร่งมากยิ่งขึ้น ซึ่งการเปลี่ยนการเรียกชื่อแบรนด์ครั้งนี้จะอยู่ในช่วงเวลาที่จะมีการประกาศ เปิดตลาดอาเซียนในวันที่ 31 ธ.ค. 58 จึงนับเป็นการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่เพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขัน ทั้งในประเทศและต่างประเทศ ดังนั้นเอสซีจีในฐานะผู้นำธุรกิจอย่างยั่งยืนในอาเซียนจะเป็นรายแรกของตลาด ที่รุกเสริมสร้างความแข็งแกร่งในเรื่องนี้" นายนิธิ กล่าว
นายนิธิ กล่าวต่อไปว่า นวัตกรรมวัสดุก่อสร้างภายใต้แบรนด์ "เอสซีจี" จะยังคงมีสินค้าและบริการครอบคลุม กลุ่มสินค้าเกี่ยวกับงานโครงสร้าง (Structural Business) ได้แก่ ปูนซีเมนต์ ท่อ และเหล็ก กลุ่มสินค้าเกี่ยวกับบ้านและที่อยู่อาศัย (Housing Business) ได้แก่ หลังคาและอุปกรณ์หลังคา ฝ้าผนัง ไม้สังเคราะห์ ฉนวน และผลิตภัณฑ์ตกแต่งภูมิทัศน์
หลังจากการเปลี่ยนชื่อแบรนด์สินค้าจะมีการเพิ่มกลุ่มโซลูชั่น และกลุ่มเทคโนโลยี (Solutions & Technology) ที่จะเพิ่มเติมด้านนวัตกรรม เทคโนโลยีของสินค้า พร้อมบริการแบบบครบวงจร ตลอดจนยังคงมุ่งมั่นพัฒนานวัตกรรมสินค้าและบริการที่มีมูลค่าเพิ่มสูง (HVA) เพื่อตอบสนองความต้องการของลูกค้าทั้งคนไทยและกลุ่มอาเซียนได้อย่างมี ประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น
สำหรับกลยุทธ์ในการสร้างการรับรู้ถึงการ เปลี่ยนชื่อแบรนด์สินค้าในครั้งนี้ นายนิธิ กล่าวว่า จะเน้นสื่อสารถึงการเปลี่ยนการเรียกชื่อสินค้า และตอกย้ำความเป็นผู้นำนวัตกรรมวัสดุก่อสร้างคุณภาพระดับสากล โดยสื่อสารไปยังกลุ่มเป้าหมาย ทั้งกลุ่มเจ้าของบ้าน สถาปนิก ช่าง ผู้รับเหมา ร้านค้าตัวแทนจำหน่าย และกลุ่มผู้บริโภคทั่วไป ด้วยกิจกรรมการตลาดที่ครบวงจรภายใต้งบประมาณกว่า 100 ล้านบาท โดยได้มีการปรับแพคเกจจิ้งสินค้าใหม่ในทุกไลน์ผลิตภัณฑ์ ปรับป้ายโฆษณาทั้งหน้าร้านและภายในร้านของผู้แทนจำหน่ายทั่วประเทศ พร้อมเปิดตัวภาพยนตร์โฆษณาชุดใหม่ ชื่อชุด "Thumb up" ความยาว 45วินาที เพื่อตอกย้ำว่า "วันนี้...ทุกผลิตภัณฑ์ตราช้างเรียกชื่อใหม่ว่าเอสซีจี" เพื่ออีกก้าวของการยกระดับคุณภาพเพื่อคุณ ซึ่งได้ออกอากาศไปแล้วเมื่อเร็วๆ นี้ และยังมีสื่ออื่นๆ อาทิ ป้ายบิลบอร์ด หนังสือพิมพ์ นิตยสาร วิทยุท้องถิ่น เพลงในร้านผู้แทนจำหน่าย เพื่อส่งเสริมให้ผู้บริโภคจดจำชื่อแบรนด์วัสดุก่อสร้าง "เอสซีจี" ได้ภายในเวลาอันรวดเร็ว
"เราเชื่อว่าการเปลี่ยนแบรนด์ครั้งนี้ เป็นการเปลี่ยนเพื่อให้แบรนด์มีพลังและแข็งแกร่งขึ้น และช่วยให้การทำตลาดตลอดจนการสื่อสารแบรนด์ในอนาคตเป็นไปได้ง่าย พร้อมรุกสู่ตลาดอาเซียน นอกจากนี้ยังช่วยเพิ่มความสะดวกสบายให้กับกลุ่มผู้บริโภคที่จดจำแบรนด์เอสซี จีเพียงแบรนด์เดียวก็สามารถใช้บริการได้อย่างครบวงจร ทั้งองค์กร สินค้า บริการ รวมถึงช่องทางการจำหน่ายและช่องทางการติดต่อสื่อสาร นอกจากนี้ในอนาคตลูกค้าจะได้ใช้สินค้าและโซลูชั่นที่มีนวัตกรรมมากยิ่งขึ้น ซึ่งจะสามารถตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์ที่หลากหลายของลูกค้าได้อย่างมีประสิทธิภาพ" นายนิธิ กล่าวทิ้งท้าย