จับตาบีทีเอสกรุ๊ปปรับทัพใหญ่ จัดโครงสร้างชัด 4 กลุ่มธุรกิจ เดินหน้าลุยขนส่งระบบราง อสังหาริมทรัพย์ สื่อโฆษณา และบริการ สะเทือนวงการ จับมือแสนสิริเปิดโครงการคอนโดฯริมทางรถไฟฟ้า 8 โครงการปีนี้

นายคีรี กาญจนพาสน์ ประธานกรรมการและประธานกรรมการบริหาร บริษัท บีทีเอสกรุ๊ปโฮลดิ้งส์ (BTS) เปิดเผยว่า ขณะนี้กลุ่มบีทีเอสได้มีการปรับทัพจัดโครงสร้างธุรกิจและจัดกำลังคนเพื่อ เตรียมพร้อมในการลุยธุรกิจทุกด้านแล้ว โดยได้เน้นความสำคัญที่บุคลากรจัดทัพคนให้เหมาะสมเพื่อเดินหน้าลุยธุรกิจ 4 ด้านหลัก คือ 1.ธุรกิจระบบขนส่งมวลชน หรือธุรกิจเดินรถไฟฟ้า ซึ่งเป็นธุรกิจหลักของบริษัท โดยมีบีทีเอสซี หรือบริษัทระบบขนส่งมวลชนกรุงเทพ ผู้ให้บริการรถไฟฟ้าบีทีเอสปัจจุบัน ที่ได้ขายรายได้อนาคตให้กองทุน BTSGIF และ บริษัทเข้าไปถือหุ้นในกองทุนอยู่ 33.33% โดยบริษัทมีความพร้อมที่จะเข้าไปร่วมลงทุนเดินรถในโครงการรถไฟฟ้าสายต่างๆ ที่ภาครัฐจะเปิดให้เอกชนเข้าร่วม รวมทั้งยังสนใจร่วมลงทุนในโครงการรถไฟฟ้ารางคู่

"เรา ได้ประกาศชัดเจนว่าพร้อมเข้าไปมีส่วนร่วมในโครงสร้างพื้นฐานขนส่งมวลชนระบบ ราง ที่ผ่านมาได้พยายามเสนอความคิดเห็นและแนวทางที่ภาคเอกชนจะเข้าไปมีส่วนร่วม ในระบบขนส่งทางรางให้รัฐบาล เพื่อให้ประชาชนได้เดินทางสะดวกมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น ขณะที่การลงทุนขนาดใหญ่ยังช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจให้มีการขับเคลื่อนและขยายตัว ซึ่งขณะนี้บีทีเอสมีความพร้อมที่สุดไม่ต้องพึ่งพาต่างประเทศ"

นาย คีรีกล่าวต่อว่า ธุรกิจกลุ่มที่ 2 ที่จะได้เห็นการเปลี่ยนแปลงและการเติบโตมากที่สุดนับจากนี้คือ อสังหาริมทรัพย์ หลังจากที่บริษัทได้จับมือกับพันธมิตรคือ บมจ.แสนสิริ เข้ามาร่วมพัฒนาที่ดินตามเส้นทางรถไฟฟ้า โดยเดือนนี้จะเปิดตัวโครงการที่พักอาศัยคอนโดมิเนียม "เดอะไลน์" บนที่ดินของบริษัทที่ติดกับสถานีรถไฟฟ้าบีทีเอสหมอชิต และหลังจากนี้จะทยอยเปิดตัวโครงการคอนโดฯริมทางรถไฟร่วมกับแสนสิริอีก 7 โครงการ ซึ่งจะได้เห็นภายในปีนี้ นอกจากนี้ ในส่วนที่บริษัทเข้าไปถือหุ้นใหญ่ 35% ในบริษัทเอ็นพาร์ค จำกัด(มหาชน)ที่ปัจจุบันเปลี่ยนชื่อเป็นยูซิตี้ จะถือเป็นหัวหอกในการรุกธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ของบีทีเอส ทั้งอาคารสำนักงานให้เช่าโรงแรมหรือเซอร์วิสอพาร์ทเมนต์ ซึ่งจะได้เห็นโครงการแรกออกมาภายในปีนี้ จากนี้จะได้เห็นการรุกสู่ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ของบีทีเอสที่ชัดเจนตั้งเป้า ว่าแต่ละปีจะใช้เงินลงทุน 30,000 ล้านบาท หรือลงทุนแต่ละโครงการไม่ต่ำกว่า 3,000 ล้านบาท

สำหรับกลุ่มธุรกิจที่ 3 คือ สื่อโฆษณา คือ บมจ.วีจี ไอ โกลบอล มีเดีย (VGI) ที่ขณะนี้มีการแข่งขันสูงมาก ทำให้บริษัทต้องปรับตัวเพื่อหนีคู่แข่ง โดยจะนำเทคโนโลยีที่เกี่ยวเนื่องกับดิจิตอลเข้ามาใช้มากขึ้นและอาจดึง พันธมิตรต่างประเทศที่มีความเชี่ยวชาญเข้าร่วม โดยล่าสุดวีจีไอได้ทุ่ม 100 ล้านบาท เข้าซื้อหุ้นบริษัทแออลอีดีแอดวานซ์ 20% เพื่อเตรียมบุกสื่อนอกบ้านและขยายตลาดใหม่ๆมากขึ้นเช่น ในสนามบิน เป็นต้น

ส่วนสุดท้าย คือ ธุรกิจเทคโนโลยีและบริการ ถือเป็นธุรกิจอนาคตที่มีโอกาสเติบโตสูงและมีมูลค่า สุงอยู่ภายใต้ บริษัท บีเอสเอสโฮลดิ้ง มีแผนจะเข้าตลาดหลักทรัพย์ โดยเป็นบริการการเงินอิเล็กทรอนิกส์ ภายใต้ชื่อบัตรแรบบิท ปัจจุบันใช้เติมเงินโดยสารรถไฟฟ้าบีทีเอส รถโดยสารด่วนพิเศษ BRT และ ร่วมกับพันธมิตร รับสัมปทานจากสนข.จัดทำระบบ "ตัวร่วม" ที่ใช้ได้ทั้งทางด่วนรถไฟฟ้า รถเมล์ นอกจากนี้ ยังนำไปใช้ซื้อสินค้าและบริการจากร้านค้าที่ร่วมกับบัตรนี้ด้วยนอกจากนี้ได้ ร่วมกับ "อาลีบาบา" เว็บไซต์ซื้อขายสินค้าออนไลน์ยักษ์ใหญ่ของจีน ขายบัตรให้นักท่องเที่ยวชาวจีนนำมาใช้ซื้อสินค้าและโดยสารรถไฟฟ้าบีทีเอสด้วย