นายสุวิทย์ เมษินทรีย์ รมช. พาณิชย์ เปิดเผยว่า ในวันที่ 18 เม.ย. 2559 คณะกรรมการประชารัฐด้านต่างๆ 12 กลุ่ม จะมีการสรุปผลการทำงานกับ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี โดยเรื่อง "ประเทศไทย 4.0" จะเป็นเรื่องหนึ่งในนั้น และจะมีเรื่องการแก้ไขปัญหาความเหลื่อมล้ำด้านรายได้ การเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขัน และการยกระดับการศึกษาของประเทศ (ประเทศไทย 1.0 คือการพัฒนาและขายสินค้าเกษตร เป็นหลัก 2.0 คือ อุตสาหกรรมเบา 3.0 คือ อุตสาหกรรมหนัก)
ทั้งนี้ รัฐบาลอยู่ระหว่างการเดินหน้าปรับโครงสร้างทั้งการลงทุนและการค้าของประเทศ เพื่อให้ไทยสามารถหลุดพ้นจากกับดักของประเทศที่มีรายได้ปานกลาง และก้าวไปสู่ประเทศไทย 4.0 ที่จะต้องพัฒนาโครงการสร้างเศรษฐกิจที่มีความเข้มแข็งจากภายใน และมีอุตสาหกรรมส่งออกที่ยั่งยืน โดยไทยต้องมีการปรับโครงสร้างการผลิตสินค้าที่มีนวัตกรรมและอาศัยเทคโนโลยีทางวิทยาศาสตร์มากขึ้น เพื่อนำรายได้เข้าสู่ประเทศ
"เศรษฐกิจโลกตอน นี้ยังเปราะบาง ดูจากการส่งออกของไทยในเดือนก.พ. ที่หักรายได้จากการส่งออกสินค้าทองคำ และอาวุธยุทโธปกรณ์ ออกไปแล้วจะติดลบ แต่การส่งออกก็อยู่ที่ 4 ของโลก ดีกว่าอีกหลายประเทศ เพราะไทยยังรักษาส่วนแบ่งตลาดไว้ได้ แต่อย่างก็ตามหากไทยยังส่งออกสินค้าแบบเดิมๆ อยู่ก็ยังน่าเป็นห่วง เพราะเราต้องลุ้นตัวเลขส่งออกทุกเดือน รัฐบาลจึงต้องการปรับโครงสร้างการผลิตใหม่ โดยการส่งเสริมการลงทุนอุตสาหกรรมเพื่ออนาคตให้มีการลงทุนสินค้านวัตกกรม และยกระดับขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศ" รมช. พาณิชย์ กล่าว
ทั้งนี้ รัฐจะมีการเน้นพัฒนาเศรษฐกิจเชิงสร้างสรรค์ เพื่อผลักดันธุรกิจบริการต่างๆ ทั้ง ด้านดิจิทัล และสุขภาพและความงาม ซึ่งเบื้องต้นจะร่วมมือกับ รัฐบาลท้องถิ่น เอกชน มหาวิทยาลัยต่างๆ และสถาบันการเงิน ในการสนับสนุนงานวิจัย ส่งเสริมธุรกิจที่เป็นอุตสาหกรรมแห่งอนาคต ใช้เทคโนโลยีขั้นสูง เช่น ยานยนต์และชิ้นส่วน เครื่องใช้ไฟฟ้า อิเล็กทรอนิกส์และอุปกรณ์โทรคมนาคม ปิโตรเคมีและเคมีภัณฑ์ ที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม ดิจิทัล อากาศยาน อุปกรณ์อัตโนมัติและหุ่นยนต์ เมืองนวัตกรรมอาหาร เป็นต้น รวมถึงมีแผนจะดึงสถาบันการศึกษาและวิจัยชื่อดังจากต่างประเทศเข้ามาช่วย พัฒนาด้วย เช่น MIT Media Lab, Babson College ของสหรัฐอเมริกา Standford university มาช่วยพัฒนาธุรกิจไทย โดยเฉพากลุ่มธุรกิจ เริ่มต้น หรือ Start up และสินค้าที่เกี่ยวข้องกับทรัพย์สินทางปัญญา เพื่อให้เกิดการขยายการลงทุนเพิ่มขึ้น
ที่มา : หนังสือพิมพ์แนวหน้า