แสนสิริระบุทำเลศักยภาพทองหล่อร้อนระอุ ดีมานด์สูงขึ้นต่อเนื่อง เหตุหาที่อยู่อาศัยยากเพราะพื้นที่พัฒนาจำกัด ชี้ราคาที่ดิน 3 ปี ก้าวกระโดดสูงถึง 20-30% แตะที่ 1.3-1.6 ล้าน/ตร.ว. ราคาคอนโดฯ เติบโตขึ้นถึง 21% เฉลี่ย 250,000-300,000 บาท/ตร.ม. เผยแสนสิริเจ้าตลาดคอนโดมิเนียมระดับบนในทำเลทองหล่อ พัฒนาโครงการในย่านทองหล่อมาแล้วถึง 4 โครงการ รวมกว่า 1,300 ยูนิต มูลค่ารวม 12,000 ล้านบาท ทุกโครงการได้รับการตอบรับที่ดี เผยแผนปั้นแลนด์มาร์คแห่งใหม่บนถนนทองหล่อ เตรียมเปิด 2 โครงการ มูลค่ารวม 10,000 ล้านบาท แย้มชื่อโครงการ "เดอะ โมนูเมนต์ ทองหล่อ" จำนวน 127 ยูนิต มูลค่าโครงการ 6,000 ล้านบาท
นายอุทัย อุทัยแสงสุข รองกรรมการผู้จัดการอาวุโส สายงานพัฒนาธุรกิจและพัฒนาคอนโดมิเนียม บริษัท แสนสิริ จำกัด (มหาชน) หรือ SIRI เปิดเผยว่า ทำเลศักยภาพทองหล่อมีการขยายตัวอย่างรวดเร็วทั้งทางด้านเศรษฐกิจและอสังหาริมทรัพย์ เนื่องจากเป็นพื้นที่ศูนย์กลางเศรษฐกิจที่เชื่อมต่อจากถนนสุขุมวิท จึงทำให้ย่านนี้เติบโตขึ้นอย่างก้าวกระโดด โดยทองหล่อเป็นที่อยู่อาศัยของผู้ที่มีฐานะดี ประกอบด้วยเศรษฐี ผู้ดีเก่า ข้าราชการระดับสูง และเจ้าของธุรกิจขนาดใหญ่ จนกลายเป็นสังคมของคนพรีเมี่ยมมาอย่างต่อเนื่อง นอกจากนี้ยังมีชาวต่างชาติหลายเชื้อชาติอยู่อาศัย โดยเฉพาะชาวญี่ปุ่นที่มาตั้งถิ่นฐานเป็นจำนวนมาก จนทำให้ปัจจุบันย่านนี้ถูกขนานนามว่า เป็น "ลิตเติ้ลโตเกียว"
"ปัจจุบันที่ดินในย่านทองหล่อเหลือที่จะพัฒนาอสังหาริมทรัพย์เริ่มลดน้อยลงเต็มทีแล้ว เรียกได้ว่าทำเลเด่นๆ เช่น ย่านกลางซอยที่เป็น Prime area แทบไม่มีเหลือเลย จึงทำให้ที่ดินย่านนี้มาราคาสูง โดยจากราคาประเมินที่ดินซอยทองหล่อของกรมธนารักษ์ในปี 2559-2562 กระโดดสูงขึ้นถึง 420,000 บาทต่อตารางวาซึ่งราคาซื้อขายจริงคาดว่าจะก้าวกระโดดไปไม่ต่ำกว่า 20-30% โดยเฉพาะทำเลติดถนนหรือใกล้ BTS ทองหล่อ ในทำเลนี้ ราคาขายที่ดินอยู่ที่โดยประมาณ 1.3-1.6 ล้านบาทต่อตารางวา ขณะที่ราคาคอนโดฯ ในย่านนี้เติบโตสูงขึ้นถึง 21% มาอยู่ที่ราคาเฉลี่ยประมาณ 161,000 บาทต่อตารางเมตร และหากเป็นโครงการใหม่ติดถนน ขึ้นไปแตะที่ 250,000-300,000 บาทต่อตารางเมตร ส่งผลให้ราคาขายต่อของคอนโดฯ ย่านนี้มีราคาเฉลี่ยสูงขึ้นจากเดิม 11% มาอยู่ที่ประมาณ 182,000 บาทต่อตารางเมตร แม้แต่ในซอยข้างเคียงอย่าง สุขุมวิท 38 ราคาขายต่อยังสูงถึง 170,000 บาทต่อตารางเมตร ส่วนค่าเช่าคอนโดฯ ยิ่งได้รับความสนใจที่ดี เพราะปล่อยเช่าได้สูงถึง 700-1,000 บาทต่อตารางเมตร โดยกลุ่มชาวต่างชาติญี่ปุ่นและสังคมคนรายได้สูงชอบซื้อคอนโดฯ ไว้ลงปล่อยเช่ามาก โดยห้องที่นิยมคือห้อง 1-2 ห้องนอน" นายอุทัย กล่าว
ทั้งนี้ แสนสิริได้พัฒนาโครงการบนทำเลทองหล่อไปแล้วทั้งสิ้นรวม 4 โครงการ จำนวนกว่า 1,300 ยูนิต มูลค่ารวมกว่า 12,000 ล้านบาท ซึ่งนับว่าเป็นผู้ประกอบการที่มีจำนวนโครงการมากที่สุดในย่านนี้ หรือนับว่าเป็นเจ้าตลาดคอนโดมิเนียมระดับบนในทำเลทองหล่อ โดยเริ่มพัฒนาโครงการ SIRI at Sukhumvit (สิริ แอท สุขุมวิท) จำนวน 460 ยูนิต มูลค่าโครงการ 3,000 ล้านบาท ในปี 2550 จากการตอบรับที่ดี ดังนั้นในปี 2552 แสนสิริจึงได้เปิดโครงการคอนโดมิเนียมใหม่ในทำเลทองหล่อ ซอย 4 ห่างจากสถานีรถไฟฟ้าบีทีเอสทองหล่อประมาณ 500 เมตร ในชื่อโครงการ Quattro by Sansiri (ควอทโทร บาย แสนสิริ) ซึ่งสามารถสร้างยอดขายแล้วกว่า 2,000 ล้านบาท ภายในระยะเวลา 1 สัปดาห์ที่เปิดการขาย ตามด้วยการเปิดการขายโครงการ KEYNE by Sansiri (คีน บาย แสนสิริ) พรีเมียมคอนโดมิเนียมแบบไฮไรซ์สูง 28 ชั้น จำนวน 208 ยูนิต มูลค่าโครงการกว่า 1,900 ล้านบาท ซึ่งทำสถิติปิดการขายได้ถึง 90% ในระยะเวลาเพียงครึ่งวัน ในเดือนมิถุนายน ปี 2553 และทุบสถิติใหม่อีกครั้งในทำเลทองหล่อ ด้วยการสร้างปรากฎการณ์ปิดการขายคอนโดมิเนียมระดับพรีเมี่ยมบนทำเลทองหล่อ ในชื่อโครงการ HQ thonglor (เอชคิว ทองหล่อ) มูลค่า 1,600 ล้านบาท จากกระแสเรียกร้องของลูกค้าจำนวนมากจนทำให้ต้องเปิดรอบ Preview สำหรับลูกค้าที่ซื้อโครงการกับแสนสิริมายาวนาน ประกอบกับกระแสตอบรับของโครงการที่ดีเกินความคาดหมาย จนในที่สุดต้องประกาศ sold out ใน 1 วัน!!
ล่าสุดแสนสิริได้เตรียมเปิดตัว 2 โครงการใหม่ในทำเลทองหล่อ มูลค่ารวมกว่า 10,000 ล้านบาท หนึ่งในนั้นคือ โครงการคอนโดมิเนียมในระดับไฮเอนด์ "เดอะ โมนูเมนต์ ทองหล่อ" จำนวน 127 ยูนิต มูลค่าโครงการ 6,000 ล้านบาท ซึ่งเมื่อโครงการแล้วเสร็จจะเป็นอาคารที่สูงที่สุดบนถนนทองหล่อ ด้วยความสูง 46 ชั้น และจะเป็น Landmark แห่งใหม่บนย่านนี้
"ตลาดคอนโดมิเนียมระดับพรีเมียมในย่านใจกลางเมือง เป็นการแข่งขันระหว่างผู้ประกอบการรายใหญ่เพียงไม่กี่ราย เนื่องจากสภาวะตลาดปัจจุบัน ผู้ประกอบการที่จะแข่งขันในตลาดนี้ ต้องมีฐานเงินทุนที่มั่นคงจากราคาที่ดินที่สูงขึ้นอย่างมาก จากการที่ ที่ดินที่เหมาะสมกับการพัฒนาโครงการระดับพรีเมียมใจกลางเมืองหายากมากขึ้น ดังนั้นสินค้าใหม่ ๆ ในตลาดนี้จึงมีอยู่ไม่มากขณะที่ความต้องการสินค้าระดับบนยังคงมีอย่างต่อเนื่อง การที่แสนสิริพัฒนาสินค้าในทำเลที่มีศักยภาพสูง มีจุดเด่นที่ชัดเจน สามารถตอบสนองความต้องการของกลุ่มลูกค้าระดับบนอย่างแท้จริง รวมถึง การส่งมอบสินค้าที่มีคุณภาพให้กับลูกค้าได้ตามกำหนด ทำให้เชื่อมั่นว่าลูกค้ากลุ่มนี้จะสามารถตัดสินใจซื้อโครงการที่มีคุณภาพเช่นนี้ได้รวดเร็ว อย่างแน่นอน" นายอุทัย กล่าว