ในสัปดาห์ที่ผ่านมาสภาพแวดล้อมในธุรกิจอสังหาริมทรัพย์มีการปรับเปลี่ยนอยู่ 2-3 ปัจจัยหลักที่เกี่ยวข้องกับการเงินที่อาจจะส่งผลกระทบต่อธุรกิจอสังหาฯ ทั้งในแง่บวกและลบ ทั้งในทางตรงและทางอ้อม ปัจจัยหนึ่งคือการเพิ่มขึ้นของหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ หรือ NPL ของสถาบันการเงินในไตรมาสแรกเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน และเทียบกับไตรมาสก่อนหน้า ซึ่งจะมีผลให้ธนาคารต้องคุมเข้มการปล่อยสินเชื่อมากยิ่งขึ้น
ส่วนอีกปัจจัยหนึ่งคือ การประกาศลดดอกเบี้ยนโยบายลงอีก 0.25% เป็นครั้งที่ 2 ติดต่อกันจากการประชุมของคณะกรรมการนโยบายการเงิน 2 ครั้งหลังสุด ทำให้ดอกเบี้ยนโยบายปรับลงมาอยู่ที่ 1.5% ขณะเดียวกันธนาคารแห่งประเทศไทยได้ประกาศมาตรการกดค่าเงินบาท โดยการผ่อนคลายเงินทุนไหลออกเพิ่มเติมให้กับบุคคลธรรมดาและนิติบุคคลใน ประเทศ รวมถึงผู้มีถิ่นที่อยู่นอกประเทศ โดยหวังว่าหากค่าเงินอ่อนจะช่วยภาคการส่งออกดีขึ้น
"การลดดอกเบี้ยและความพยายามที่จะทำให้ค่าเงินบาทอ่อนลง เป็นความพยายามของรัฐบาลที่จะช่วยกระตุ้นภาคการส่งออกเพื่อให้จีดีพีขยายตัว ซึ่งหากจีดีพีดีขึ้นก็จะส่งผลต่อธุรกิจอสังหาฯ ในทางอ้อม แต่คงไม่ได้เห็นผลในช่วงสั้นอาจจะเป็นช่วงปลายปีถึงจะเห็นผลที่เกิดขึ้นกับ ธุรกิจอสังหาฯ ถ้ารัฐสามารถใช้มาตรการดังกล่าว ช่วยขยายการส่งออกได้" มานพ พงศทัต อาจารย์ผู้ทรงคุณวุฒิประจำภาควิชาเคหการ คณะสถาปัตยกรรมศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ให้ความเห็น
ขณะที่ปัญหาหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ที่เกิดขึ้นอาจจะเป็นปัญหาช่วงสั้นๆ ที่อาจจะเกิดปัญหาสภาพคล่องกับโครงการใหญ่ที่ลงทุนไปก่อนหน้านี้ แต่สำหรับลูกค้ารายย่อยจะมีปัญหาหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้น้อยมาก เพราะธนาคารได้สกรีนการปล่อยสินเชื่อมาชั้นหนึ่งแล้ว เชื่อว่าปัญหาจะเป็นในช่วงสั้นที่ธนาคารสามารถดูแลได้ และ จะยังไม่กระทบกับตลาดอสังหาฯ นัก ซึ่งจะต้องจับตาดูว่าหลังจากนี้เอ็นพีแอลจะเพิ่มขึ้นอีกหรือไม่
ในอีกด้านหนึ่งตัวเลขเอ็น พีแอลที่เพิ่มขึ้นในไตรมาสแรก ถูกตั้งสันนิษฐานว่าเกิดจากปริมาณ สินเชื่อใหม่ที่ไม่ขยายตัวดีนักใน ช่วงที่ผ่านมา ทำให้สัดส่วนหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้จึงเพิ่มขึ้นไปด้วย
"หากมองในมุมที่สินเชื่อใหม่ปล่อยได้น้อย สัดส่วนหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้จึงมีตัวเลขที่เพิ่มขึ้น อาจจะทำให้แบงก์ต้องเร่งปล่อยสินเชื่อใหม่ให้มากขึ้น โดยเฉพาะสินเชื่อบ้านที่เป็นเงินกู้มีหลักประกัน มีสัดส่วนการกันสำรองต่ำกว่าการปล่อยสินเชื่ออื่น ทำให้ขณะนี้ธนาคารจึงยังคงแข่งขันกันปล่อยสินเชื่อบ้านอยู่ แต่ก็เป็นการปล่อยสินเชื่อที่เน้นคุณภาพ" อิสระ บุญยัง กรรมการผู้จัดการ บริษัท กานดา พร็อพเพอร์ตี้ ให้ความเห็น
เมื่อผนวกกับการประกาศลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายลงอีก 0.25% แม้การลดดอกเบี้ยนโยบายรอบนี้ธนาคารพาณิชย์จะยังไม่ได้ลดดอกเบี้ยลงอย่าง ชัดเจน แต่ตลาดก็รับรู้แล้วว่าทิศทางดอกเบี้ยยังคงอยู่ในช่วงขาลง ซึ่งจะช่วยผ่อนคลายภาระทางการเงินของทั้งผู้ประกอบการและผู้บริโภคลง
ขณะที่ อธิป พีชานนท์ นายกสมาคมธุรกิจบ้านจัดสรร เชื่อว่าการลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายลงอีก 0.25% เมื่อดอกเบี้ยธนาคารพาณิชย์ลดลงจะทำให้เงินทุนในประเทศไหลออกไปต่างประเทศทำ ให้เงินบาทอ่อนค่าลงจะเป็นผลดีต่อภาคการส่งออก ส่วนกำลังซื้อในภาคอสังหาฯเชื่อว่าจะปรับตัวดีขึ้น แต่คงจะต้องใช้เวลาสักระยะ ซึ่งยังไม่เห็นผลในทันที
อย่างไรก็ตาม นักวิชาการด้านที่อยู่อาศัยอย่างมานพมองว่าการที่ผู้ประกอบการหันมาใช้แคมเปญมากขึ้น นั่นแสดงถึงภาวะที่ซัพพลายมีมากเกินไป หรือเรียกว่าภาวะตลาดบวม โดยเฉพาะบริษัทรายใหญ่ในตลาดหลักทรัพย์ที่ยังคงต้องขยายการลงทุนอย่างต่อเนื่อง หากยังเป็นเช่นนี้ตลาดอาจเกิดปัญหาขึ้น จึงควรชะลอซัพพลายใหม่ให้ตลาดกลับสู่ภาวะสมดุลก่อน
ที่มา : หนังสือพิมพ์โพสต์ทูเดย์