เคยสังเกตไหมว่าผู้ขายบ้านหรือโครงการจะแบ่งระดับราคาของบ้านที่เสนอขายด้วยวัสดุที่ใช้ปูพื้นเป็นประเด็นสำคัญ จนบางทีดูเหมือนว่าบ้านหลังไหนที่ใช้วัสดุปูพื้นเป็นวัสดุที่ดูหรูหราราคาแพง เช่น หินอ่อนหรือแกรนิตก็ทำให้สามารถปั่นราคาบ้านให้กลายเป็น บ้านระดับราคาสูง หรือ บ้านหรู ไปได้อย่างไม่ยากเย็น ทั้งๆที่ในส่วนอื่นๆ ของบ้านเช่น ผนัง , หลังคา , สุขภัณฑ์ หรือแม้แต่ประตูหน้าต่างเองก็สำคัญไม่แพ้กัน
นั่นคงเป็นเพราะส่วนใหญ่ผู้ที่เลือกซื้อหรือกำลังตัดสินใจเลือกซื้อบ้านสักหลัง ดูจะให้น้ำหนักของวัสดุปูพื้นเป็นประเด็นหลักในการพิจารณาตัดสินใจเลือกซื้อ จะมีลูกค้าสักกี่รายที่รู้ว่ากระเบื้องเซรามิคบางตัวหรือแม้กระทั่งไม้ปาร์เก้บางชนิด มีราคาสูงเทียบเท่า หรือสูงกว่าหินอ่อนหรือหินแกรนิตบางประเภท (ซึ่งมักจะเป็นหินอ่อนหรือหินแกรนิตที่ผุ้ขายบ้านหรือโครงการเลือกใช้เสียด้วย)
เพื่อทุเลาอาการไม่รู้และเพิ่มเติมข้อมูลเพื่อช่วยในการตัดสินใจเลือกหาของดีมีคุณภาพในราคาและการใช้งานที่เหมาะสม เราไปรู้จักกับวัสดุปูพื้นชนิดต่างๆ ที่นิยมนำมาเป็นตัวเลือกในการปูพื้นในส่วนต่างๆภายในตัวบ้านในปัจจุบัน แต่ก่อนที่จะลงไปในรายละเอียดในวัสดุแต่ละชนิด หลายท่านคงเคยเจอคำถามที่ดูจะเป็นปัญหาโลกแตกสำหรับเจ้าของบ้านในการที่จะเลือกหาวัสดุปูพื้น อาทิเช่น "ห้องนี้ควรปูพื้นด้วยวัสดุอะไร? เพราะอะไร? มีวัสดุชนิดอื่นที่ใช้แทนได้ไหม? ราคาเท่าไร?" คำตอบที่พอจะจะพิจารณาเป็นหลักคิดในการเลือกใช้วัสดุปูพื้นภายในคือ
- พื้นที่ในส่วนนั้นทำหน้าที่อะไร เช่น ใช้ปูพื้นในส่วนเฉลียงหน้าบ้าน, ห้องรับแขก, ครัวหรือห้องนอน เป็นต้น
- ใช้งานประเภทไหน เช่น ป้องกันลื่น, ไม่ให้เกิดเสียงดังขณะเดิน, ใส่หรือไม่ใส่รองเท้าในเวลาเดิน เป็นต้น
- การดูแลรักษา ซ่อมแซมยากง่ายเพียงไร รวมทั้งระยะเวลา (ที่คิด) จะใช้งานในพื้นที่ส่วนนั้น เช่น การปรับเปลี่ยนพื้นพรมหรือกระเบื้องยางเมื่อใช้งานไปสักระยะหนึ่ง เป็นต้น
- ราคาเท่าไร การเลือกใช้วัสดุให้คุ้มค่าและเกิดประโยชน์ใช้สอยในราคาค่าตัวที่จ่ายไป
- ความสวยงาม ซึ่งดูเป็นปัจจัยที่ไม่สามารถบ่งบอกเป็นกฎเกณฑ์มาตรฐานตายตัวได้ ขึ้นอยู่กับความรู้ศึกและรสนิยมส่วนตัวของเจ้าของบ้านแต่ละคนเอง (โดยอาจจะขอให้สถาปนิกหรือมัณฑนากรช่วยดูช่วยเลือก ช่วยแนะนำประกอบการพิจารณาอีกทีหนึ่งก็ได้)
เมื่อตอบคำถามในปัจจัยต่างๆข้างต้นจะได้ข้อสรุปเป็นรูปธรรมที่ชัดเจน เช่นหากจะพิจารณาเลือกใช้วัสดุในห้องครัวจะต้องพิจารณาถึงพื้นที่ในส่วนครัวว่าเป็นพื้นทีที่ใช้งานค่อนข้างหนัก และมีโอกาสสัมผัสกับคราบเปื้อน, ละอองน้ำมัน, สารเคมีต่างๆรวมถึงการกระทบกระแทกจากอุปกรณ์ต่างๆได้ง่าย
ดังนั้น วัสดุปูพื้น ในส่วนนี้ควรจะมีความแข็งแกร่งเพียงพอ ง่ายต่อการดูแลทำความสะอาด มีอายุการใช้งานนานพอสมควร และอาจให้น้ำหนักในเรื่องความสวยงามเป็นปัจจัยรอง แต่คงต้องมองเน้นในเรื่องการสะดวกใช้ สะดวกดูแลเป็นประเด็นหลัก ซึ่งขั้นตอนต่อไปก็ถึงเวลาเลือกหาวัสดุปูพื้นที่สามารถตอบสนองความต้องการข้างต้นได้ครบ (หรือเกือบครบ) ในทุกคำตอบ โดยต่อไปนี้เป็นการแนะนำวัสดุปูพื้นให้พอเป็นข้อมูลแก่ท่านผู้อ่านได้ทำความรู้จักและเข้าใจคุณสมบัติข้อเด่น ข้อด้อยของวัสดุแต่ละชนิดเพื่อใช้ประกอบการพิจารณาอ้างอิงในการเลือกหรือไม่เลือกใช้วัสดุปูพื้นภายในชนิดต่างๆที่มีในปัจจุบัน
1) หินอ่อนและหินแกรนิต
ข้อแตกต่าง ของหินอ่อน กับ หินแกรนิต ที่เห็นได้ชัดเจน คือ ลวดลายบนตัวหิน
- หินอ่อน จะมีลวดลายที่ดูสวยงามนุ่มนวลกว่าหินแกรนิต ซึ่งเรามักจะนิยมนำหินอ่อนมาใช้กับอาคารประเภทพักอาศัย เช่น บ้านพักอาศัย รีสอร์ท เป็นต้น ส่วนหินแกรนิตมักจะนำมาปูพื้นในส่วนของอาคารประเภทสำนักงานหรืออาคารสาธารณะต่างๆ
- หินแกรนิต จะมีความหนาแน่นและแข็งแกร่งกว่าหินอ่อน ดังนั้นหินแกรนิตจะมีปัญหาในเรื่องของการดูดซึมน้ำ, ความชื้นหรือคราบสกปรกน้อยกว่าหินอ่อน รวมทั้งยังทนทานต่อสารเคมีบางประเภทได้ดีกว่าหินอ่อนอีกด้วย
ปัญหาที่พบส่วนใหญ่ของพื้นอาคารที่ปูหินอ่อนหรือหินแกรนิตร่วมกับวัสดุปู พื้นชนิดอื่นคือ เรื่องของแนวระดับของพื้นที่ปูวัสดุต่างชนิดมาเจอกันเนื่องจากในการปูพื้น หินอ่อน หรือหินแกรนิตจะต้องเตรียมปูนปรับระดับให้หนากว่าการปูกระเบื้อง หรือหนากว่าการปูวัสดุปูพื้นชนิดอื่นๆ ถ้าช่างที่ปูพื้นไม่ละเอียดพออาจเกิดอาการประดักประเดิดระหว่างรอยต่อของ พื้นที่ปูวัสดุต่างชนิดกันซึ่งทำให้อาจเกิดการสะดุดล้มเกิดอุบัติเหตุได้ง่าย การปูพื้นหินอ่อนหรือหินแกรนิตในบริเวณที่เปียกก็อาจเป็นอันตรายต่อสุขภาพของท่านเองได้ เนื่องจากผิวหน้าของหินอ่อนหรือหินแกรนิตจะมีความเรียบและลื่น (ซึ่งเมื่อปูแล้วก็ต้องมีการขัดผิวหน้าอีกครั้งหนึ่งด้วย) ดังนั้นก็คงจะไม่เหมาะเป็นแน่ ถ้าจะนำหินอ่อนหรือหินแกรนิตไปปูในที่ที่มีน้ำขังหรือเปียกน้ำได้ง่าย
ปัจจุบันในส่วนของเฉลียงบ้านหรือเทอเรซรวมไปถึงห้องน้ำ ถ้าต้องการจะปูพื้นด้วยหินอ่อนหรือหินแกรนิตมักจะปูสลับด้วยหินแกรนิตเป่าไฟหรือพ่นทราย (ซึ่งเป็นการทำให้หินแกรนิตมีผิวด้านไม่เรียบ) เพื่อป้องกันอุบัติเหตุจากการลื่นล้มของพื้นที่ที่ปูหินอ่อนหรือหินแกรนิตที่เปียกน้ำอยู่เสมอๆ โดยเฉพาะหินอ่อน เมื่อใช้งานไปได้สักระยะหนึ่งในพื้นที่ที่เปียกน้ำอยู่เสมอน้ำอาจจะแทรกซึมเข้าไปในเนื้อของหินอ่อน ซึ่งจะทำให้ความสามารถในการยึดเกาะของพื้นผิวคอนกรีตกับตัวหินอ่อนลดน้อยลง และน้ำอาจจะซึมผ่านไปยังพื้นหรือผนังส่วนอื่นๆ ต่อไปได้อีกด้วย
การเลือกใช้หินอ่อนปูพื้นจะหวังให้ได้ลายหรือสีในลักษณะเดียวกันหมดทั้งพื้นที่ที่ปูก็คงจะไม่ได้ ดังนั้นอาจจะมีบางจุดบางส่วนของพื้นที่จะมีลวดลายหรือสีสันที่ผิดเพี้ยนไปบ้างก็คงต้องทำใจ (นอกจากจะคัดพิเศษจริงๆ) และไม่ควรใช้หินอ่อนปูพื้นในพื้นที่ภายนอกที่โดนแสงแดดโดยตรง มิฉะนั้น ท่านอาจต้องหายแก้ฝ้ามาช่วยรักษาอาการเป็นฝ้าให้กับหินอ่อนลายสวยของท่านได้ (ฝ้าที่ผิวหินอ่อนสามารถแก้ได้โดยการให้ช่างปูหินอ่อนมาขัดหน้าหินใหม่)
2) พื้นไม้จริง
หากย้อนกลับไปดูบ้านเรือนในสมัยก่อนพื้นที่ใช้บนเรือน นิยมใช้ไม้แผ่นมาปูเรียงต่อกันโดยวางบนโครงสร้างไม้ (ตงไม้และคานไม้) อีกทีหนึ่ง เมื่อใช้งานไปนานๆ อาจจะมีเสียงดังเกิดขึ้นในขณะเดิน ทั้งนี้เนื่องจากไม้เกิดการบิดขยายตัว (จากอุณหภูมิภายนอกและการอบไม้ไม่แห้งดีพอ) ทำให้รอยเชื่อมต่อของแผ่นเกิดการเลื่อนระยะขบเกยกัน รวมถึงกรณีการวางตงไม้รับแผ่นไม้ไม่ได้ระยะ (ห่างเกินไป) จึงทำให้พื้นบางช่วงเกิดการแอ่นตัวหรือที่ภาษาช่างเรียกว่า "ตกท้องช้าง" มองดูไม่เรียบร้อยและเป็นอีกสาเหตุหนึ่งที่ทำให้เวลาเดินจะเกิดเสียงดังน่ารำคาญได้
ปัจจุบันหากเจ้าของบ้านเลือกที่จะปูพื้นไม้จริงจึงมักจะปูแผ่นพื้นไม้ลงบนพื้นคอนกรีตอีทีหนึ่ง โดยวางระแนงไม้ฝังลงไปในแนวคอนกรีต สูงกว่าผิวคอนกรีตประมาณ 2 เซนติเมตร เพื่อใช้เป็นตัวปรับระดับแนวปูพื้นไม้อีกทีหนึ่ง ไม้แผ่นที่นิยมนำมาปูพื้น เช่น
- ไม้แดง เป็นไม้เนื้อแข็ง ทนต่อการขีดข่วนมีสีค่อนข้างคล้ำ ไม่ค่อยมีลายไม้ เนื้อไม้เหนียวมีการยึดหดตัวค่อนข้างสูงทำให้เกิดการแตกร้าวของเนื้อไม้ได้ง่าย
- ไม้มะค่า เป็นไม้เนื้อแข็งเช่นเดียวกัน แต่มีราคาแพงกว่าไม้แดงมาก ทนต่อการรับน้ำหนักมีลายไม้และสีสันสวยงาม เนื้อไม้จะออกสีน้ำตาลแดงหรือน้ำตาลแก่ มีความคงรูปไม่ยืดหดหรือแตกร้าวง่าย
- ไม้สัก เป็นไม้ที่มีสีสันและลวดลายสวยงาม เนื้อไม้มีสีเหลืองทอง ปลวก มอดไม่ขึ้น แต่เป็นไม้เนื้ออ่อนกว่าไม้แดงและไม้มะค่า จึงรับน้ำหนักและทนต่อรอยขีดข่วนได้น้อยกว่าราคาแพง
3) ปาร์เก้
- ปาร์เก้โมเสก ลักษณะเป็นการนำเอาไม้ชิ้นเล็กๆ ประมาณ 1.5x10 เซนติเมตร แล้วจึงนำแต่ละแผงมาต่อเรียงกันบนกระดาษรองเป็นแผ่นใหญ่ขนาด 30 x30 เซนติเมตร ปัจจุบันปาร์เก้โมเสก ไม่ค่อยนิยมใช้นำมาปูพื้น เนื่องจากแผ่นไม้มีขนาดเล็ก หากการยึดติดไม่แน่นหนาพอทำให้เกิดการกระดกและหลุดล่อนได้ง่าย
- ปาร์เก้เข้าลิ้น เป็นปาร์เก้ไม้แผ่นขนาดประมาณ 5x30 เซนติเมตร นำมาไสลิ้นร่องด้านข้าง วางเรียงกันเป็นลวดลายสลับหรือลายฟันปลาตามที่แบบกำหนด ปาร์เก้เข้าลิ้นในท้องตลาดมีให้เลือกใช้หลายขนาด หลายราคา โดยขนาดของปาร์เก้เข้าลิ้น สามารถผลิตได้ใหญ่ถึงขนาด 10x35 เซนติเมตร เมื่อนำมาปูพื้นจึงทำให้ได้ความรู้สึกใกล้เคียงกับการปูพื้นด้วยไม้แผ่นจริงในราคาที่ไม่แพงเท่า
- ปาร์เก้สำเร็จ ลักษณะเป็นไม้ชิ้นเล็กๆ นำมายึดติดกันเป็นแผง ทำการขัดหน้า ทายูริเทนเคลือบหน้าไว้ก่อนแล้วจึงนำมาปูลงบนไม้อัดแผ่นหรือแบบยางปรับระดับ บนพื้นคอนกรีต (เหมือนการปูพรมแผ่น) ข้อดีของปาร์เก้สำเร็จ คือ ประหยัดเวลาในการปู แต่มีราคาค่อนข้างแพงและต้องอาศัยช่างปูพื้นที่มีความชำนาญในการปูมากกว่าปู ปาร์เก้เข้าลิ้นธรรมดา
เนื่องจากการปูพื้นปาร์เก้ เป็นการใช้เพียงกาวประสาน ยึดระหว่างตัวไม้กับพื้นคอนกรีต ดังนั้นก่อนการปูปาร์เก้จะต้องมีการทำความสะอาดพื้นผิวและสกัดเศษปูนตามผิวออกให้หมด เพื่อให้เนื้อไม้ปาร์เก้แนบสนิทไปกับพื้นปูน ไม่ให้เกิดการกระดกหรือเกิดช่องว่างระหว่างพื้นไม้ปาร์เก้กับผิวปูนปรับระดับ ทิ้งให้กาวแห้งสนิท (ประมาณ 10 วันขึ้นไป) แล้วจึงขัดหน้าปาร์เก้ด้วยยูริเทน หรือแลคเกอร์ จากข้อจำกัดในการยึดติดของพื้นผิวปาร์เก้กับปูนปรับระดับ ดังนั้นการเลือกใช้ปาร์เก้ในการปูพื้นจึงควรปูพื้นในส่วนของพื้นที่ไม่มีความชื้นหรือน้ำท่วมขัง เพราะอาจเป็นสาเหตุของการหลุดร่อนของปาร์เก้ได้
ปาร์เก้ในท้องตลาด จะมีราคาต่างกันตามชนิดของเนื้อไม้ ขนาดของชิ้นไม้และเกรดของปาร์เก้เอง ซึ่งการแบ่งเกรดของปาร์เก้จะแบ่งตามสีสันและคุณภาพของไม้ เช่น ชนิดเกรด AAA หรือ AA เป็นปาร์เก้ที่มีคุณภาพดี โดยมีการคัดชิ้นไม้ที่มีสภาพสภาพดี มีตาหรือรอยแตกบิ่นน้อย มีสีสันและลายไม้สวยงาม ส่วนไม้ปาร์เก้ที่มีคุณภาพรองลงไป ก็จะระบุเป็นเกรด A หรือ B ซึ่งราคาจะต่างกันพอสมควร
ดังนั้นเจ้าของบ้านไม่ควรจะละเลยตรวจดูคุณภาพของปาร์เก้ที่ปูพื้นหรือเลือกซื้อปาร์เก้ในเกรดที่เหมาะสม โดยเฉพาะกับการเลือกซื้อบ้านตามโครงการบ้านจัดสรรที่ระบุ SPEC เป็นพื้นไม้ปาร์เก้ ว่าเป็นปาร์เก้ชนิดไม้อะไร เกรดอะไร เพื่อประกอบในการพิจารณา เลือกซื้อบ้านที่มีคุณภาพตามต้องการ
4) กระเบื้องปูพื้น
- กระเบื้องเซรามิก เป็นกระเบื้องที่ผลิตจากกรรมวิธีการอัดขึ้นรูปและเผาที่อุณหภูมิสูงทำให้เนื้อกระเบื้องมีความแข็งแกร่ง และทนทานต่อรอยขีดข่วนต่างๆ เนื่องจากการที่สีเคลือบกระเบื้องหลอมเป็นเนื้อเดียวกันกับกระเบื้องรวมทั้งสามารถทำแบบลวดลายบนพื้นผิวได้หลากหลาย ไม่ว่าจะเป็นพื้นผิวลวดลายธรรมชาติ, ลายพิมพ์นูน, ผิวพ่นทรายกันลื่น เป็นต้น
ข้อแนะนำในการปูกระเบื้องเซรามิกในห้องน้ำ ควรปูให้แนวรอยต่อของพื้นและผนังเป็นแนวเดียวกันเพื่อความเรียบร้อย สวยงามและพึงระวังในการใช้กระเบื้องต่างรุ่นต่างการใช้งานโดยให้สังเกตว่า กระเบื้องรุ่นใดใช้สำหรับปูพื้นรุ่นใดใช้สำหรับกรุผนัง ซึ่งโดยทั่วไปเราไม่นิยมนำกระเบื้องกรุผนังมาใช้ปูพื้น เนื่องจากกระเบื้องกรุผนังจะมีความแข็งแกร่งน้อยกว่าและมีผิวค่อนข้างมันและลื่น
- กระเบื้องดินเผา ในสมัยก่อนกระเบื้องดินเผาที่นิยมนำมาใช้ในการปูพื้นจะมีสีแดงอิฐหรือน้ำตาล แดงเข้ม โดยตัวกระเบื้องดินเผาเองมีการดูดซึมน้ำค่อนข้างมาก เนื่องจากกรรมวิธีการเผาและการเคลือบผิวกระเบื้องที่แตกต่างจากกระเบื้องเซ รามิก แต่ก็มีผู้นิยมนำมาใช้ปูพื้นในบริเวณส่วนระเบียงหรือเฉลียงพักผ่อน บริเวณบ้านเนื่องจากเป็นวัสดุที่ให้ความรู้สึกกลมกลืนไปกับบรรยากาศธรรมชาติได้ดีกว่ากระเบื้องเซรามิก
ปัจจุบันมีการพัฒนาการผลิตกระเบื้องดินเผาให้มีรูปแบบที่หลากหลายซึ่งรวมถึง การเคลือบสีที่แตกต่าง ขนาด รูปร่างและลวดลายที่มากมาย แต่ยังคงรักษารูปแบบและความรู้สึกดั้งเดิมไว้ได้เป็นอย่างดี โดยเจ้าของบ้านที่ต้องการวัสดุปูพื้นที่ให้ความรู้สึกเป็นธรรมชาติ ดูไม่เป็นทางการก็ยังเลือกใช้กระเบื้องดินเผาในการปูพื้นอยู่เสมอๆ ถึงแม้จะราคาที่ค่อนข้างแพงเมื่อเทียบกับกระเบื้องเซรามิกทั่วๆไปมากพอสมควร ก็ตาม
5) พรม
เมื่อพูดถึงรูปลักษณ์ของพื้นที่ที่ใช้พรมเป็นวัสดุปูพื้น นั่นดูจะทำให้รู้สึกเป็นเรื่องของความหรูหรา สวยงาม นุ่มนวลและราคาแพง ซึ่งในความเป็นจริง พรมเป็นวัสดุปูพื้นที่มีอายุการใช้งานสั้น (มักใช้ในกรณีที่ต้องการเปลี่ยนบรรยากาศของห้องหรือบริเวณที่ปูพรมบ่อยๆ) สกปรกง่ายแต่ทำความสะอาดและบำรุงรักษายาก เก็บความชื้นและติดไฟง่าย การเลือกใช้พรม จึงควรเลือกใช้ในพื้นที่หรือบริเวณที่ไม่ใช้งานหนักหรือสกปรกง่าย และไม่ควรปูพรมยาวต่อเนื่องกันเกินไป เนื่องจากพรมจะเป็นสาเหตุของการลามของไฟในกรณีที่เกิดไฟไหม้ได้ง่าย
ปัจจุบันมีพรมชนิดที่เรียกว่า พรมกระเบื้อง หรือ CARPET TILE โดยพรมกระเบื้องจะมีลักษณะเป็นพรมแผ่นไม่ใหญ่นักสามารถลอกออกเปลี่ยนเฉพาะแผ่นที่สกปรกเสียหายได้ แต่มีราคาแพงมาก จึงไม่เป็นที่นิยมเท่าใดนัก
อย่างไรก็ตามการเลือกใช้วัสดุปูพื้นให้เหมาะสมที่สุดในแต่ละบริเวณของบ้าน ไม่ใช่การลองผิดลองถูก หากเพียงแต่เจ้าของบ้านเองจะเจียดเวลามาทำความรู้จัก ข้อดี ข้อด้อยของวัสดุปูพื้นแต่ละชนิดก่อนที่จะเลือกใช้วัสดุชนิดใดในการปูพื้น ย่อมจะดีกว่าที่ต้องเสียเวลาหลายๆ วันในการรื้อเปลี่ยนพื้นใหม่หรืออาจใช้เวลาทั้งชีวิตทนอยู่กับปัญหาที่เกิดขึ้นกับพื้นที่ที่ท่านไม่ใส่ใจจะเลือกดูเองตั้งแต่แรก
ข้อมูลจาก : rgbarchitects.com / โดย : สมพันธ์ ราชรักษา