นางสาวเกษรา ธัญลักษณ์ภาคย์ กรรมการบริหาร บริษัท เสนาดีวเลลอปเม้นท์ จำกัด (มหาชน) หรือ SENA เปิดเผยว่า บริษัทมุ่งร่วมมือพันธมิตรทางธุรกิจกับบริษัทที่มีความเชี่ยวชาญในด้านต่างๆ ร่วมลงทุนพัฒนาโครงการ และธุรกิจที่ต่อยอดอสังหาริมทรัพย์ ถือเป็นการขยายการลงทุนและกระจายความเสี่ยงทางธุรกิจ ทั้งเป็นกลไกการลงทุนที่ไม่ต้องใช้เงินจำนวนมาก ในภาวะเศรษฐกิจผันผวน
โดยขณะนี้อยู่ระหว่างเจรจากับพันธมิตรใหม่อีก 2 ราย ทั้งในและต่างประเทศ รายแรกเป็นธุรกิจด้านพลังงานทดแทน และอีกรายเป็นกองทุนจากประเทศญี่ปุ่น เพื่อร่วมพัฒนาโครงการคอนโดมิเนียม คาดจะมีการลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือทางธุรกิจภายในสิ้นปีนี้
ตั้งแต่ต้นปีที่ผ่านมา บริษัทประกาศความร่วมมือกับ 3 พันธมิตรรายใหญ่ ได้แก่ บริษัท เฟิร์สโซล่าร์ จำกัด ผู้ผลิตโซล่าร์เซลล์ระดับโลก จากสหรัฐ บริษัท คอนฟิเดนท์ แคปปิตอล จำกัด ที่ปรึกษาทางการลงทุนที่มีความเชี่ยวชาญด้านการลงทุนด้านพลังงานแสงอาทิตย์ ทั้งในและต่างประเทศ ในการเข้าลงทุนธุรกิจโซลาร์ รูฟ ตั้งเป้ากำลังการผลิต 5 เมกะวัตต์ ภายใน 12 เดือน
นอกจากนี้ ร่วมกับ บริษัท บี.กริม เพาเวอร์ จำกัด ผู้เชี่ยวชาญด้านพลังงาน ในการขยายการลงทุนสู่ธุรกิจพลังงานทดแทน โซล่าฟาร์ม เพื่อต่อยอดธุรกิจ ถือเป็นการเริ่มต้นการทำธุรกิจพลังงานทดแทนขนาดใหญ่ นำไปสู่การเพิ่มมูลค่าให้บ้านในโครงการของเสนาด้วย โซล่า รูฟท็อป
ล่าสุด ร่วมเป็นพันธมิตรทางธุรกิจกับ บริษัท ไอร่า แคปปิตอล จำกัด (มหาชน) มีความเชี่ยวชาญด้านตลาดทุนและตลาดเงินครบวงจร และมีเครือข่ายพันธมิตรทางธุรกิจหลายแขนง เพื่อพัฒนาโครงการสำนักงานให้เช่าเป็นตลาดที่มีการเติบโต โดยเฉพาะการเปิดประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน (AEC) จะยิ่งทำให้ตลาดสำนักงานให้เช่ามีการขยายตัวมากยิ่งขึ้น
ในปีนี้บริษัทมีนโยบายเพิ่มสัดส่วนรายได้การเช่าให้อยู่ในระดับ 10% เพื่อกระจายความเสี่ยงในการดำเนินธุรกิจและบริหารรายได้ ทั้งนี้บริษัท มีรายได้จากค่าเช่าอสังหาฯ ในหลายรูปแบบ ทั้งสนามกอล์ฟที่พัทยา คอมมูนิตี้มอลล์ ภายใต้ชื่อ เสนา เฟส ธุรกิจอพาร์ตเมนต์ รวมถึงโกดังให้เช่า ล่าสุดต่อยอดธุรกิจพลังงานทดแทนโซล่าฟาร์ม และโซล่า รูฟท็อฟ ที่ผ่านมา ผลประกอบการของบริษัทที่ดีขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยไตรมาสแรก มีรายได้ 59.40 ล้านบาท คิดเป็นสัดส่วน 12 % ของรายได้ทั้งหมด
สำหรับแผนการดำเนินงานในครึ่งปี จะมีการเปิดตัว 5 โครงการ เป็นแนวราบ 4 โครงการ และคอนโด 1 โครงการ ตั้งเป้าหมายรายได้ 3,000 ล้านบาท ยอดขาย 4,500 ล้านบาท ขณะที่สินค้ารอรับรู้รายได้ (Backlog) ในปัจจุบันอยู่ที่ 1,600 ล้านบาท ทยอยรับรู้รายได้ ไปจนถึงปี 2559
แนวโน้มธุรกิจอสังหาฯช่วงครึ่งปีหลังยังคงขยายตัวอย่างต่อเนื่อง โดยได้ปัจจัยหนุนจากแนวโน้มดอกเบี้ยที่อยู่ในช่วงขาลง อย่างไรก็ตามปัญหาหนี้ครัวเรือนในระดับสูง ทำให้สถาบันการเงินคุมเข้มการปล่อยสินเชื่อ ทำให้ผู้ประกอบการอสังหาฯต้องระวังการลงทุน ปรับกลยุทธ์การดำเนินธุรกิจให้สอดคล้องกับสถานการณ์
ที่มา : หนังสือพิมพ์กรุงเทพธุรกิจ