การเคลื่อนทัพเข้าสู่ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ของบริษัท บุญรอด บริวเวอรี่ ผู้ผลิตและจำหน่ายเบียร์สิงห์ โดยการเข้าซื้อหุ้น บริษัท รสา พร็อพเพอร์ตี้ ดีเวลลอปเม้นท์ และเปลี่ยนชื่อมาเป็นบริษัท สิงห์ เอสเตท จำกัด (มหาชน) หรือ S เมื่อช่วงปลายปี 2557 เป็นความเคลื่อนไหวที่หลายฝ่ายจับตา
เนื่องด้วยทุนก้อนมหึมาจากธุรกิจเบียร์ของกลุ่มบุญรอดนำโดย สันติ ภิรมย์ภักดี กำลังเคลื่อนสู่การลงทุนอสังหาริมทรัพย์อย่างเต็มรูปแบบ เห็นได้จากการประกาศแผนลงทุน 5 ปี หลังการเปลี่ยนผ่านจาก รสา พร็อพเพอร์ตี้ฯ ไปสู่ สิงห์ เอสเตท เสร็จสิ้นลง ด้วยเม็ดเงิน 1 แสนล้านบาท หรือปีละ 2 หมื่นล้านบาท สำหรับการซื้อสินทรัพย์ที่พร้อมจะแปรเปลี่ยนเป็นรายได้ ยิ่งทำให้ถูกจับตามองยิ่งขึ้น
การแข่งขันในธุรกิจแอลกอฮอล์ที่เข้มข้นผลักดันให้บุญรอด บริวเวอรี่ ต้องหาทางกระจายความเสี่ยง ทั้งในธุรกิจเครื่องดื่มที่เร่งขยายออกไปสู่นันแอลกอฮอล์มากยิ่งขึ้น ขณะที่ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์เป็นอีกช่องทางที่น่าสนใจ เนื่องจากตระกูลภิรมย์ภักดี มีแลนด์แบงก์ แปลงงามๆ ที่ซื้อเก็บไว้มากพอ ยังไม่รวมที่ดินที่เกี่ยวเนื่องจากสายการผลิตเบียร์อีกหลายแปลง ซึ่งพร้อมจะเป็นทุนในช่วงเริ่มต้น
การเข้าประมูลที่ดินสถานทูตญี่ปุ่น บริเวณแยกอโศกตัดถนนเพชรบุรีตัดใหม่จำนวน 11 ไร่ เป็นการส่งสัญญาณที่ชัดเจนก่อนที่สิงห์จะเข้าซื้อหุ้นในรสา พร็อพเพอร์ตี้ฯ และเตรียมจะพัฒนาโครงการในพื้นที่ดังกล่าวให้เป็นสิงห์ คอมเพล็กซ์ โครงการมิกซ์ยูสระดับไฮเอนด์มูลค่าเกือบหมื่นล้านบาท ที่จะเริ่มก่อสร้างภายในปลายปีนี้ไปเสร็จในปี 2560 เป็นการยืนยันชัดเจนว่าสิงห์เอาจริงกับธุรกิจอสังหาริมทรัพย์
การดึง นริศ เชยกลิ่น มือการเงินจาก บริษัท เซ็นทรัลพัฒนา หรือ CPN ยักษ์ค้าปลีกของไทย มาเป็นประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท สิงห์ เอสเตท แม้จะต้องการจะให้นริศ มาดูแลเรื่องการเงินการลงทุนในช่วงเริ่มต้น แต่ต้องไม่ลืมว่านริศเคยผ่านงานกับบริษัทอสังหาริมทรัพย์มาแล้วอย่างโชกโชน ทั้งบริษัท ธนายง บริษัท ลากูน่า รีสอร์ท แอนด์ โฮเท็ล บริษัท ไทยวา หรือแม้แต่ CPN นริศ ก็เข้าไปเกี่ยวข้องกับการลงทุนสร้างห้างสรรพสินค้าที่เป็นอสังหาริมทรัพย์ อีกประเภทเช่นกัน
นอกจากนี้ ยังมีทีมงานที่อาจจะไม่คุ้นหน้าคุ้นตานัก แต่ก็มีประสบการณ์ที่มากพอที่จะทำให้ สิงห์ เอสเตท โจนทะยานไป ข้างหน้าได้อย่างน่าเกรงขาม ทั้ง ณัฐวุฒิ มัธยมจันทร์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารการพัฒนาธุรกิจพักอาศัย เคยร่วมงานกับอิตาเลียนไทยฯ (ITD) ในตำแหน่งวิศวกรโครงการและบริษัท แลนด์ แอนด์ เฮ้าส์ ในตำแหน่งผู้จัดการโครงการ ก่อนที่จะเข้ามาดูธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ให้กับบริษัท บุญรอด บริวเวอรี่
นอกจากนี้ยังมี ล่องลม บุนนาค อดีตผู้บริหารบริษัท โจนส์แลง ลาซาลล์ ประเทศไทย มาเป็นประธานเจ้าหน้าที่บริหารการลงทุน และเมธี วินิชบุตร ประธานเจ้าหน้าที่บริหารการเงิน คนรุ่นใหม่ ดีกรีเศรษฐศาสตร์ เกียรตินิยมอันดับหนึ่งและปริญญาโทการจัดการ เกียรตินิยมอันดับหนึ่งจาก The London School of Economics and Political Science ประเทศอังกฤษ เคยผ่านงานด้านการซื้อและควบรวมกิจการมาแล้ว
นอกจากทีมงานในระดับหัวขบวนแล้ว นริศ บอกว่า ตอนนี้กำลังเซตคนให้เป็นทีมงานที่แน่นปึ้ก โดยกำหนดวัฒนธรรมองค์กรของสิงห์ เอสเตท ด้วยคำว่า PRIDE (แปลความตรงตัวว่า ความภาคภูมิใจ หรือมีอีกความหมายหนึ่งว่า ฝูงสิงโต) ประกอบด้วย
- P มาจากคำว่า Partnership หมายถึง การมีสัมพันธภาพที่ดี การเป็นพันธมิตรที่ยั่งยืน
- R มาจากคำว่า Refined หมายถึง การทำธุรกิจบนพื้นฐานของความประณีต ละเอียดอ่อน และงดงาม
- I มาจากคำว่า Integrity หมายถึง ความซื่อตรง ไว้วางใจได้
- D มาจากคำว่า Dynamic หมายถึง การปรับตัวได้อย่างรวดเร็วตลอดเวลาให้ทันกับการเปลี่ยนแปลง
- E มาจากคำว่า Entrepreneurship หมายถึง การตระหนักในการมีส่วนร่วมต่อการเติบโตขององค์กร
วัฒนธรรมองค์กรที่สร้างขึ้นเป็นการเชื่อมโยงเข้ากับงานที่สิงห์ เอสเตท จะต้องทำทั้งในและนอกองค์กร ไม่ว่าการปรับตัวที่รวดเร็ว การต้องหาพันธมิตรในการลงทุน ซึ่งจะต้องมีทั้งความซื่อสัตย์ การสร้างความเป็นพันธมิตรที่ยั่งยืน เป็นต้น นริศ ประเมินว่าจะต้องใช้เวลาอีกประมาณ 1 ปี เรื่องการเซตคนน่าจะเข้าที่เข้าทาง
ทางด้านการลงทุนแม้ว่าสิงห์จะมีทุนทั้งที่ดิน ทั้งเงินพร้อม แต่ก็ไม่ใช่เรื่องง่ายๆ ในยามที่เศรษฐกิจไม่เป็นใจ ตั้งแต่เริ่มเข้าควบรวมกับรสา พร็อพเพอร์ตี้ฯ จนถึงปัจจุบัน เศรษฐกิจยังไม่มีทีท่าว่าจะดีขึ้นเลย เป็นการเข้าสู่ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ในจังหวะที่ไม่ดีนัก แต่นริศก็ไม่กังวล โดยบอกว่าการที่เขาเคยอยู่ในธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ที่มีวงจรขึ้นลงไปตาม เศรษฐกิจ ทำให้รู้ว่าจะต้องรับมืออย่างไร และถึงตอนนี้ สิงห์ เอสเตท ก็คงทำได้ตามเป้าหมายที่ตั้งไว้
ประกอบกับการวางตำแหน่งของสิงห์ให้ต้องเป็นแบรนด์ไฮเอนด์ จึงไม่น่าจะได้รับผลกระทบกับภาวะเศรษฐกิจนัก แต่ด้วยความที่ตลาดไฮเอนด์มีดีมานด์ที่จำกัด จึงเป็นการบ้านที่ท้าทายสำหรับสิงห์ เอสเตท ว่าจะพัฒนาสินค้าไฮเอนด์ให้เป็นที่ยอมรับได้มากน้อยขนาดไหน โดย CEO สิงห์ เอสเตท ยืนยันว่า เราจะไปยืนตรงจุดนั้นให้ได้
ส่วนหนึ่งจะมาจากคอนเนกชั่นที่กว้างขวางของภิรมย์ภักดีที่ช่วยผลักดัน พร้อมๆ กับการพัฒนาสินค้าให้มีคุณภาพที่ดีจะเห็นได้จากโครงการที่จะเริ่มพัฒนา ทั้งคอนโดมิเนียมบนถนนอโศกมูลค่า 4,500 ล้านบาท ที่จะเปิดขายเดือน ก.ย. ในราคา 2 แสนบาท/ตารางเมตร และบ้านเดี่ยวระดับหรูราคาหลังละ 50 ล้านบาท บนถนนประดิษฐ์มนูธรรมที่จะเปิดขายในปีหน้า ได้ใช้บริษัทออกแบบชื่อดังจากต่างประเทศ รวมถึงนำเข้าวัสดุต่างประเทศมาใช้สำหรับการก่อสร้างเป็นการการันตีในเบื้อง ต้นว่าของที่ได้จะเป็นไฮเอนด์แน่นอน พร้อมกันนี้ นริศ ยืนยันด้วยว่า จะโฟกัสเฉพาะตลาดไฮเอนด์เป็นหลัก และคงไม่แตกลงไปในตลาดแมส เช่นที่เบียร์สิงห์มีลีโอเป็น Fighting Brand แน่นอน
สำหรับภารกิจในด้านการลงทุนสิงห์ เอสเตท ยังเดินหน้าได้ตามเป้าหมาย เช่นที่ นริศ กล่าว โดยมีแผนที่จะซื้อทรัพย์สินจากการเข้าไปซื้อโดยตรง การร่วมทุน หรือการซื้อกิจการเพิ่มอีก 3-4 รายการ ซึ่งมีทั้งอสังหาริมทรัพย์ และโรงแรม หากเป็นไปตามแผนจะมีการซื้อสินทรัพย์ 6 รายการ รวมเงินลงทุนเกือบๆ 2 หมื่นล้านบาท และจะสร้างรายได้ในปีนี้ 4,000 ล้านบาท ตามเป้าหมาย
ส่วนในปีหน้ามีแผน นริศ และทีมงาน ยังคงนโยบายที่ชัดเจน คือ การลงทุนในสินทรัพย์คุณภาพสูง และการหาพันธมิตรที่พร้อมจะร่วมกันทำธุรกิจให้เติบโตอย่างยั่งยืน โดยเบื้องต้นที่จะเปิดคอนโดมิเนียมเพิ่มอีก 3 โครงการ และบ้านหรูที่ถนนประดิษฐ์มนูธรรมอีก 1 โครงการ มูลค่ารวมกว่า 1 หมื่นล้านบาท ไม่นับรวมการลงทุนของบริษัท เนอวานา ดีเวลลอปเม้นท์ และวางเป้ารายได้ไว้ที่ 6,000 ล้านบาท และใน 5 ปี รายได้จะขยับไปอยู่ที่ 2 หมื่นล้านบาท จากการลงทุนโครงการต่างๆ ที่เริ่มทยอยผลิดอกออกผล
ในช่วง 5 ปีนี้จึงเป็นงานที่ท้าทายของสิงห์ เอสเตท หากสามารถบรรลุผลตามแผนที่ตั้ง ไว้ ถึงวันนั้นสิงห์จะคำรามได้อย่าง น่าเกรงขามทีเดียว
ที่มา : หนังสือพิมพ์โพสต์ทูเดย์